นักวิจัยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวว่าประเทศไทยถูกจัดลำดับที่มีเวลาเรียนที่เยอะที่สุดในโลก เมื่อรองมาจากประเทศญี่ปุ่น
เหตุที่เรียนหนักจึงส่งผลทำให้มีเด็กไทยต้องออกกลางคันจำนวนปีละ 900.000 คน ต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กไทยมีเวลาเรียนวันละ 8-10 คาบต่อวัน แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่อยากเรียนหนังสือเพราะเบื่อหน่าย
และมีเด็กไทยอายุตั้งแต่ 7 -20 ปีที่ต้องฆ่าตัวตายด้วยผลการเรียนตกต่ำ หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ที่น่าตกใจมีจำนวนที่เด็กไทยที่ฆ่าตัวตายปีละ 300.000 คนต่อ
และพบอีกว่าเนื้อหารายวิชาต่างๆ มีแต่เนื้อหาที่มีความรู้แต่ไม่มีศีลธรรม จึงทำให้เด็กกลายเป็นคนขาดศีลธรรม ไม่รู้จักเสียสละ ไม่รู้จักทำเพื่อส่วนรวมเพื่อผู้อื่น และกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในที่สุด เมื่อเด็กจบไปเด็กอาจใช้ความรู้ที่มีมาก่อน นำไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรมในที่สุดได้เช่นกัน
อีกปัญหาหนึ่งคือ จำนวนนักเรียนในห้องเรียนมากเกินไป ตามมาตรฐานการศึกษาจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่ควรเกิน 30 คน
นอกจากนี้ยังพบปัญหาของเยาวชนไทย อีกหลายประการ ดังนี้
- ปัญหาตั้งครรภ์ ก่อนวัยอันควรจำนวน 1.500.000 คน ใน 2 ปีที่ผ่านมา
- มีเยาวชนติดโรค HIV จำนวน 1.358.000 คนใน 3 ปี และจะเพิ่มขึ้นทุกปี
- ค่าเรียนที่แพงจนมีเด็กไทยหลายคนเลือกทำอาชีพที่ผิดกฎหมายกันมากขึ้น จำนวน 386.250 คนต่อปี เด็กที่ประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย เช่น ข่ายตัว ค้าขายเสพติด เป็นต้น สาเหตุที่เด็กทำผิด เพราะต้องการหาเงินเป็นค่าเรียน
- เด็กจำนวนร้อยละ 87 มีเวลาพูดคุยกับพ่อแม่วันละ 10 นาที จึงทำให้เด็กไม่มีเวลาได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ จึงทำให้พ่อแม่ไม่รู้ชีวิตความเป็นอยู่ในโรงเรียนของเด็กเลย หรือน้อยมาก
“คำพูดที่สรุปภาพของการศึกษาไทยได้อย่างเจ็บแสบว่าเป็นแบบ “ลู่วิ่งเดี่ยวปลายตีบ” เด็กทั้งประเทศเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่แข่งขันด้านความเป็นเลิศทาง วิชาการ แต่ยิ่งวิ่ง ปลายลู่ยิ่งตีบ เด็กส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ต้องหล่นออกจากลู่ มีน้อยคนเท่านั้นที่วิ่งชนะ สภาพเช่นนี้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ทุกคน ถ้าวันนี้ถ้าระบบการศึกษาไทยยังไม่เปลี่ยน ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์